Roman Sculpture | ประติมากรรมโรมัน
Roman Sculpture
การศึกษาเรื่องราวของประติมากรรมโรมันนั้นมีความซับซ้อนเนื่องมาจากความสัมพันธ์ที่ประติมากรรมสกุลนี้มีต่อสกุลประติมากรรมกรีกโบราณ ตัวอย่างของประติมากรรมหลายต่อหลายชิ้นของประติมากรรมกรีกโบราณที่โด่งดัง อย่างเช่น อพลอลโล แห่งเบลเวเดเรและนั้นฟอนแห่งบาร์เบรินีนั้นเป็นที่รู้จักกันได้ผ่านตัวลอกเลียนโดยช่างในจักรวรรดิโรมันหรือเรียกกันว่าเป็นตัวเลียนแบบเฮเลนิสติค จนครั้งหนึ่ง บรรดานักประวัติศาสตร์ศิลปะและนักวิจารณ์ได้ถือกันว่าการสร้างงานด้วยการลอกเลียนแบบของช่างโรมันนี้แสดงให้เห็นความคับแคบทางจินตนาการในเชิงศิลปะ แต่ในปลายศตวรรษที่นี่สิบนั้น ศิลปะโรมันก็ได้เริ่มถูกค้นพบในฐานะที่เป็นผลงานของโรมันเอง จนนำไปสู่ข้อเสนอประการหนึ่งที่ว่าประติมากรรมกรีกโบราณนั้นโดยแท้จริงแล้วอาจได้รับอิทธิพลมาจากงานช่างศิลป์โรมัน
ความโดดเด่นของศิลปะโรมัน
จุดแข็งที่เป็นข้อโดดเด่นของประติมากรรมโรมันอยู่ที่การสร้างงานเสมือนตัวจริง เนื่องจากช่างปั้นชาวโรมันนั้นไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องของอุดมคติอันสมบูรณ์แบบแบบที่ช่างชาวกรีกหรือช่างชาวอียิปต์เน้น ผลประติมากรรมที่ได้จึงแสดงออกถึงบุคลิกลักษณะต้นแบบของงานชิ้นนั้นๆ รวมไปถึงเรื่องราวที่เล่าผ่านฉากแกะนูนต่ำด้วย ตัวอย่างผลงานประติมากรรมโรมันนั้นถูกเก็บรักษาไว้เป็นจำนวนมากตรงกันข้ามเป็นอย่างยิ่งกับภาพเขียนสมัยโรมันที่แม้จะมีการเขียนไว้จำนวนมากแต่ก็สูญหายไปจนเกือบหมด ผู้ประพันธ์ในภาษาโรมันหรือภาษากรีกนั้นต่างได้บรรยายถึงรูปปั้นจนสามารถนำบทบรรยายบางชิ้นในผลงานเหล่านั้นมาเทียบเคียงกับประติมากรรมโรมันที่ถูกกล่าวถึงได้ ผู้ประพันธ์คนสำคัญที่มีงานในลักษณะดังกล่าวนั้นคือพลินี เดอะ เอลเดอร์ที่เขียนบทพรรณนาไว้ในเล่มที่สามสิบสี่ของหนังสือชื่อ ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ของเขา แต่ถึงผลงานประติมากรรมโรมันจะยังหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันเป็นจำนวนมาก แต่ผลงานประติมากรรมเหล่านั้นก็มักจะชำรุดเสียหายหรือเป็นเพียงชิ้นส่วนไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
ความเป็นมาและแนวคิด
ในช่วงแรกเริ่มนั้น ประติมากรรมโรมันได้รับอิทธิพลอย่างมากจากกรีกและอีทรัสกันที่ในกรณีของตนเองนั้นก็ได้รับอิทธิพลจากกรีกผ่านทางพ่อค้าที่เดินทางไปมา และเมื่อจักรวรรดิโรมันสามารถยึดครองดินแดนของกรีกโบราณได้มากขึ้นเรื่อย ตัวประติมากรรมโรมันก็ยิ่งมีความเป็นเฮเลนนิสติกมากขึ้นเช่นกัน จนทำให้งานประติมากรรมในสไตล์กรีกยุ่งเจริญรุ่งเรืองที่สุดนั้นหลงเหลือมายังยุคปัจจุบันได้เพราะตัวผลงานลอกเลียนในประติมากรรมโรมันนั่นเอง ในช่วงศตวรรษที่สองก่อนคริสตกาลนั้น เหล่าประติมากรที่ทำงานอยู่ในโรมันโดยส่วนใหญ่เป็นชาวกรีกและผลงานประติมากรรมกรีกโบราณก็ถูกขนย้ายเข้ามาที่จักรวรรดิไม่ว่าจะผ่านทางการค้าขายหรือเป็นค่าปฏิกรรมสงคราม
โดยงานประติมากรรมโรมันนั้นมีข้อแตกต่างจากผลงานของพวกกรีกตรงที่จะไม่ได้เป็นผลงานที่ทำขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของปวงเทพต่างๆ ในเทพปกรณัมเพื่อเคารพบูชาแบบของกรีก แต่จะเน้นการปั้นรูปหล่อและการแกะสลักรอยนูนบอกเล่าเรื่องราวของกษัตริย์หรือวีรชนและตำนานทางประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิมากกว่า งานปั้นโรมันที่ได้รับอิทธิพลจากกรีก (หรือที่เรียกกันว่าสไคล์เกรโก-โรมัน) นั้นจะมีความแข็งแรงและอ่อนช้อยเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน
แต่เมื่อมาถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่สาม ผลงานประติมากรรมโรมันก็เปลี่ยนแปลงอย่างมากโดยที่นักประวัติศาสตร์ศิลปะในปัจจุบันยังไม่สามารถให้คำอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ประติมากรรมโรมันเปลี่ยนเป็นงานที่เน้นหนักไปที่ความแข็ง, ความหนักแน่น และอาการขมวดเกร็ง กล่าวได้อีกอย่างว่าเป็นการปฏิเสธธรรมเนียมประติมากรรมโรมันคลาสสิคโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้มีเกร็ดประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจคือ ความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในธรรมเนียมผลงานประติมากรรมโรมันนั้นเกิดขึ้นก่อนที่จักรวรรดิโรมันและชาวโรมันโดยส่วนใหญ่จะรับศาสนาคริสต์เป็นศาสนาหลักไม่นาน และเหตุการณ์สำคัญนี้ก็นำไปสู่การละทิ้งการสร้างสรรค์ประติมากรรมทางศาสนาของลัทธิความเชื่ออื่นๆ ที่เคยทำกันมาโดยทั่วไป เหลือเพียงการสร้างประติมากรรมของวีรบุรุษหรือจักรพรรดิโรมันเท่านั้น